เบาะรองนั่งป้องกันแผลกดทับ

แผลกดทับคืออะไร?

          แผลกดทับ (Pressure ulcer หรือ Bedsore) เกิดจากแรงกดต่อเนื่องบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อด้านล่าง เช่น บริเวณก้นกบ สะโพก หรือต้นขา ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เซลล์ผิวหนังตายและกลายเป็นแผลในที่สุด ปัญหานี้พบมากในผู้ที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้บ่อย เช่น ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ใช้รถเข็นเป็นเวลานาน

เบาะรองนั่งกันแผลกดทับคืออะไร?

          เบาะรองนั่งกันแผลกดทับ เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงกดบริเวณที่สัมผัสกับเก้าอี้หรือรถเข็น โดยช่วยกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ลดการเสียดสี และส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ และเพิ่มความสบายในการนั่งระยะยาว

ประโยชน์ของเบาะรองนั่งกันแผลกดทับ

1. ลดแรงกดและเสียดสี
   กระจายแรงกดทับในบริเวณที่นั่ง ลดการเสียดสีของผิวหนังกับพื้นผิวเก้าอี้

2. ช่วยป้องกันแผลกดทับ
   เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลกดทับ ช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการลุกลามของแผลที่มีอยู่แล้ว

3. เพิ่มความสบายในการนั่ง
   วัสดุที่นุ่มและยืดหยุ่น เช่น เมมโมรี่โฟม เจล หรือลม ช่วยลดความเมื่อยล้าและความเจ็บปวดจากการนั่งเป็นเวลานาน

4. พกพาง่าย ใช้ได้หลากหลาย
   สามารถนำไปใช้กับเก้าอี้ทั่วไป เก้าอี้รถเข็น หรือในรถยนต์ได้สะดวก

5. ดูแลรักษาง่าย
   หลายรุ่นสามารถถอดซักหรือเช็ดทำความสะอาดได้ เหมาะกับการใช้งานประจำวัน

ประเภทของเบาะรองนั่งกันแผลกดทับ

• เบาะโฟม (Foam Cushion)
  เบาะเมมโมรี่โฟมหรือโฟมความหนาแน่นสูง รองรับสรีระดี และช่วยกระจายแรงกดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• เบาะเจล (Gel Cushion)
  เย็นสบาย ไม่อมความร้อน กระจายแรงกดได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศร้อน

• เบาะลม (Air Cushion)
  สามารถปรับแรงดันได้ ลดแรงกดเฉพาะจุดได้ดีเยี่ยม เหมาะกับผู้ป่วยที่มีแผลกดทับแล้ว

• เบาะแบบผสม (Hybrid)
  รวมคุณสมบัติของโฟม เจล และลมไว้ด้วยกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

เหมาะกับใคร?

• ผู้สูงอายุ

• ผู้ป่วยติดเตียงหรือหลังผ่าตัด

• ผู้ใช้รถเข็น

• ผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ เช่น พนักงานออฟฟิศ หรือคนขับรถ
  
  

          เบาะรองนั่งกันแผลกดทับเป็นอุปกรณ์เล็ก ๆ ที่มีประโยชน์ยิ่งใหญ่ ช่วยดูแลสุขภาพ ป้องกันแผลกดทับ และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่ต้องนั่งเป็นเวลานาน การเลือกเบาะที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานและสภาพร่างกายของแต่ละคน จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หากคุณหรือคนในครอบครัวอยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่าละเลยการดูแลส่วนนี้ เพราะ “การป้องกัน” ง่ายกว่าการรักษาเสมอ